BMW S 1000 RR นับได้ว่าเป็นรถที่ครองใจใครหลายๆคน อย่างมากมาย ด้วยชื่อชั้น และระบบความปลอดภัยที่บรรจุลงมา พร้อมด้วยการปรับตั้งให้ตอบสนองได้ในทุกการขับขี่กับเซนเซอร์มากมาย ที่คอยปรับตั้งอาการของรถให้อย่างลงตัว และเหมาะสม ทำให้เข้าถึงได้ง่ายๆ และสนุกสนานไปกับพละกำลังของรถได้อย่างเต็มที่
กับรุ่นปี 2020 ที่ผมมีโอกาสได้ขับขี่ในครั้งนี้ก็ต้องขอขอบคุณทาง BMW Motorrad Thailand ด้วยนะครับ กับ BMW S 1000 RR ใน Gen 3 ที่เปิดตัวเพื่อการครบรอบ 10 ปีของ BMW S 1000 RR ที่ต้องบอกว่ามีการปรับปรุงระบบอีกพอสมควรเพื่อให้ความสนุกมา “เต็ม” อย่าง “ปลอดภัย” และยังพร้อมใช้ในการลงไปรีดสมรรถนะบนสนามทางเรียบได้ง่ายขึ้น
สรุปกันเป็นหัวข้อแบบสั้นๆ ตามนี้เลย
- รูปลักษณ์ทั่วไป
- รายละเอียดทางเทคนิค – เสปคตัวรถที่น่าสนใจ
- สัดส่วนคน และรถ
- การขับขี่ในสภาพถนนต่างๆ
- น่าจะเหมาะกับ
- สรุป
รูปลักษณ์ทั่วไป
“ตาไม่เหล่แล้วนะ” กับการปรับเปลี่ยนทรวดทรงไฟหน้า ให้มีความสมมาตรกันแทน พร้อมด้วยการย้ายไฟเลี้ยวจากด้านข้างไปไว้ที่กระจกแทน
ในส่วนของไฟเบรค, ไฟท้าย และไฟเลี้ยว ถูกรวมเข้าด้วยกันให้อยู่ในดวงเดียว ครบจบ แบบง่ายๆเลย
ซึ่งการจัดไฟเลี้ยวไว้ที่กระจกข้าง และไฟท้ายรวมกันเป็นดวงเดียว มีไว้เพื่อให้สามารถ “ถอด” ได้อย่างง่ายดาย ขันน็อตไม่กี่ตัว ก็พร้อมลงสนามไปสนุกกันได้ทันที
หน้าจอแสดงผลแบบสี ที่สามารถปรับการแสดงผลแบบสนามได้อีก 3 แบบ เพื่อให้ตอบโจทย์ตามความเหมาะสม และความถนัดของแต่ละคน ซึ่งยังสามารถเชื่อมต่อข้อมูลในการขับขี่ “ทั้งหมด” เข้ากับแอป BMW Connected Ride ที่จะช่วยในการเก็บข้อมูลเพื่อนำไปพัฒนาต่อยอดต่างๆได้อีกขั้น
[บนซ้าย] ชุดช่วงล่างหลังที่มีเซนเซอร์ระยะยุบเสริมเข้ามาเพื่อช่วยในการวัดค่า และปรับตั้งการทำงานได้อย่างเหมาะสม
[บนขวา] ประกับแฮนด์ทางซ้าย ที่ยังให้การใช้งานเหมือนเดิม และใช้กับรุ่นรถที่หลากหลายขึ้นจาก BMW (ตั้งแต่ F 900 ขึ้นมา)
[ล่างซ้าย] ปั๊มเบรคหน้าขนาดใหญ่ จาก BMW ที่ให้พลังหยุดที่ “เกินพอ” และควบคุมน้ำหนักให้ละเอียดขึ้นด้วย ABS ที่ทำงานคู่กับ IMU ที่ใช้ในการจับอาการ และตำแหน่งของรถได้อย่างละเอียด
[ล่างขวา] ประกับไฟทางขวา ที่ใช้เพียงการสตาร์ทเครื่องยนต์ และเลือกโหมดของการขับขี่
รายละเอียดทางเทคนิค – สเปคตัวรถที่น่าสนใจ
ฝนตกแฉะๆ กันทั้งวัน ไม่เป็นไร เพราะ BMW S 1000 RR กับระบบความปลอดภัยที่ทำงานได้อย่างละเอียด ก็พาให้ผมขับขี่ได้อย่างปลอดภัย
สัดส่วนคน และรถ
กับสัดส่วนความสูงที่ 163 cm น้ำหนัก 60 kg ที่พาช่วงขายาว 700 mm บน BMW S 1000 RR ที่มีความสูงเบาะ 822 mm ลงปลายเท้าได้นิดๆ หล่ะครับทั้งสองข้าง
น้ำหนักของตัวรถที่ประมาณเกือบ 200 kg (196kg) แต่ด้วยการจัดวางน้ำหนักที่ดี ให้ความรู้สึกที่สามารถยกรถขึ้นตั้งตรงได้อย่างง่าย โดยไม่ต้องใช้แรงอะไรมากเกินไปหล่ะครับ ส่วนในการขับขี่ปกติ ขยับก้นสักนิด ให้เท้าลงได้เต็มๆ สักข้างนึง ปลอดภัย และมั่นใจมากกว่าน้า แตะปลายเท้านี่บอกตรงๆ เสียวลื่นมาก !
การขับขี่ในวันนี้
สำหรับในครั้งนี้นั้นผมมีเวลาอยู่กับ BMW S 1000 RR 1 วันเต็มๆ ซึ่งก็ต้องบอกว่า เป็นการขับขี่ฝ่าสายฝนตลอดทั้งวันในกรุงเทพเนี่ยแหล่ะครับ เรียกว่าวิ่งกันร่วมๆ 140 km จนน้ำมันหมดถังนั่นแหล่ะ !
โหมดการขับขี่ ของตัวรถมี 4 โหมดคือ Rain, Road, Dynamic และ RACE ซึ่งแต่ละโหมดนั้นให้การตอบสนองที่แตกต่างกันชัดเจน สำหรับผมนั้น สภาพการขับขี่ในวันนี้อยู่แค่โหมด Rain และ Road ก็พอแล้วหล่ะครับ
ด้วยตำแหน่งองศาของแฮนด์รถที่ไม่ต่ำมากเกินไป ผสานเข้ากับตำแหน่งเบาะที่ให้ความรู้สึกเหมือน “จม” อยู่กับรถ ทำให้ท่าทางในการขับขี่ BMW S 1000 RR คันนี้นั้น “จัดว่านั่งได้สบายมาก” สำหรับรถในคลาส Sport 1000 cc เป็นมิตร นุ่ม และตอบสนองกับความต้องการในการขับขี่บนสภาพถนนต่างๆได้เป็นอย่างดี
คันเร่งไฟฟ้านุ่มนิ่มมือ แทบไม่มีแรงต้านอะไร ซึ่งตรงนี้แนะนำให้ปรับตัวก่อนสักระยะนะครับ จะบิดแบบคันเร่งสายปกตินี่ “รู้เรื่อง” เลยหล่ะ ซึ่งคันเร่งไฟฟ้า ก็จะทำงานร่วมกับ IMU และ ระบบความปลอดภัยทั้งหมดอย่างเต็มระบบ เพื่อให้การขับขี่มีเสถียรภาพ และปรับตามสภาพการใช้งานได้อย่างดี
ช่วงล่างของ BMW S 1000 RR ในโหมด Road นั้นตอบสนองกับการใช้งานบนท้องถนนในบ้านเราได้ค่อนข้างดีเลยหล่ะครับ ส่วนในโหมด Rain จะมีอาการย้วย หน้า-หลังไปมา ซึ่งตรงนี้ต้องบอกว่า “ปกติ” เพราะการปรับตั้งแบบนี้นั้นจะช่วยเพิ่มน้ำหนักที่จะถ่ายเทไปมาซึ่งช่วยให้ Traction ของการยึดเกาะของตัวรถนั้นดีขึ้นไปด้วยสำหรับสภาพเส้นทางลื่นๆ แย่ๆ (แบบถนนบางเส้น ….) ซึ่งโหมดนี้คือการใช้ระบบต่างๆของตัวรถอย่างคุ้มราคาที่สุดแล้วหล่ะครับ
เบรคของ S 1000 RR นั้นจัดว่าเพียงพอเลยหล่ะครับ สำหรับการใช้งานทั่วไปบนท้องถนน รวมไปถึงบนสนามทางเรียบ กับปั๊มหน้าขนาดใหญ่จาก Hayes ที่ทำงานร่วมกับระบบทุกอย่างของตัวรถ ให้ระยะเบรค และน้ำหนักที่เหมาะสมกับสภาพเส้นทาง พร้อมการเกลี่ยน้ำหนักเบรคหน้าที่ทำได้อย่างนุ่มที่เกลี่ยน้ำหนักเบรคได้อย่างง่ายดาย
California Superbike Level 2 บนสนามบุรีรัมย์ที่ผ่านมา
สำหรับ RACE นั้นบอกเลยทาง BMW ปรับมาเพื่อ “ยางสลิค หรือยางกึ่งสนาม” และ “พื้นผิวสนาม” เท่านั้นนะครับ ไม่ควรนำมาใช้บนท้องถนนเลยหล่ะ เพราะการตั้งค่าการทำงานของระบบความปลอดภัยต่างๆ จะต่ำมาก และเหมาะกับการใช้บนสภาพที่มีการยึดเกาะที่ดีจริงๆ บนอุณหภูมิที่เหมาะสมเท่านั้นน้า อย่างที่ผมเคยได้ขับขี่ใน California Superbike Level 2 ที่ผ่านมา ที่ต้องบอกเลยว่า “พร้อมพยศ”
โหมดลับ “PRO” ติดตั้งเป็นอุปกรณ์เสริมนะครับ
น่าจะเหมาะกับ / จุดเด่น
น่าจะเหมาะกับ
- เพื่อนๆที่ชอบรถสปอร์ต แต่เน้นไปที่การใช้งานทั่วไปบนท้องถนนในบ้านเรา BMW S 1000 RR คันนี้จัดได้ว่าเป็นรถที่มีความยืดหยุ่นในการใช้งานที่ครอบคลุมเลยหล่ะครับ สำหรับการขับขี่บนท้องถนน ความเร็ว 80-90 km/hr นั้นผมใช้รอบเครื่องไม่ถึง 4000 rpm ด้วยซ้ำ
- สายเดินทางกับสปอร์ต S 1000 RR นั้นต้องบอกว่าทำได้ดีในระดับนึงเลยทีเดียว ด้วยท่านั่งที่เป็นมิตร ไม่ต้องใช้กำลังอะไรให้เป็นภาระมากมายกับตัวผู้ขับขี่
- สายสนาม ปรับตั้งรถเพิ่มเติมสักหน่อย ใช้ยางที่เหมาะสม แล้วกด RACE กัน … บอกเลยว่า S 1000 RR คันนี้ พร้อมที่จะเปลี่ยนคาแรคเตอร์ของรถ เป็นพลังมหาศาลที่ดุดันพร้อมทะยานออกโค้งได้อย่าง “สนุก และมั่นใจมาก”
จุดเด่นของ BMW S 1000 RR
- มีการนำ Shift Cam มาใช้ใน BMW S 1000 RR รุ่นนี้ที่ทำงานให้การส่งแรงบิดต่อเนื่อง และเชื่อถือได้ตั้งแต่รอบต่ำ พร้อมปรับองศาให้ทำงานได้อย่างเต็มสมรรถนะบนรอบสูง
- ออกแบบเครื่องยนต์ใหม่ให้เบาลงอีกเกือบ 4 kg แต่รีดสมรรถนะออกมาได้เพิ่มขึ้น และคงความยืดหยุ่นในการใช้งานได้อย่างดี
- Flex Frame ที่ออกแบบใหม่ เพื่อใช้โครงสร้างเครื่องยนต์ช่วยในการกระจายแรงกระทำต่างๆ ซึ่งส่งผลให้ออกแบบตัวรถได้ง่ายขึ้น น้ำหนักเบาลง จัดการจุดศูนย์ถ่วงของตัวรถได้ง่าย และคงไว้ซึ่งการยึดเกาะที่ดีขึ้นในขณะขับขี่
- จากการใช้ Flex Frame ทำให้ S 1000 RR สามารถปรับทรวดทรงของถังน้ำมันให้บางลง ซึ่งทรงผลให้จัดการกับน้ำหนักรถได้ดีขึ้น มิติของตัวรถดูเล็กกระทัดรัดมากขึ้น จนใกล้เคียงกับรถในพิกัด 600 cc เลยทีเดียว
- ไฟเลี้ยวยังคงเป็นแบบ Self cancelling คือปิดเองอัตโนมัติหลังจากเลี้ยวเสร็จ หรือเกินระยะทางที่กำหนด
สรุป
BMW S 1000 RR ปี 2020 นับได้ว่าเป็น Gen ที่ 3 แล้วซึ่งก็พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ปรับปรุง และเพิ่มขีดความสามารถของการใช้งานบนสนาม แต่ที่ประทับใจอย่างนึงเลยคือ ยังคงความยืดหยุ่น และเป็นรถสปอร์ตที่ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวันได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว
รูปลักษณ์ของตัวรถมีการเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย แต่ที่เห็นได้ชัดคือ ไฟหน้าแบบสมมาตรเนี่ยแหล่ะครับ ซึ่งเมื่อรวมกับการออกแบบ Flex Frame ใหม่ก็ทำให้การออกแบบตัวถัง และทรวดทรงของรถทำได้แคบลง มิติของตัวรถให้ความรู้สึกที่เพรียวบางมากขึ้น ท่านั่งที่ยังคง “จม” ไปกับรถ ก็เพื่อให้น้ำหนักรวมของรถ และคนอยู่ใกล้กัน และจัดการกับจุดศูนย์ถ่วงได้ง่ายขึ้นไปด้วย
ซึ่งในส่วนของการขับขี่นั้นยังคงเป็นมิตร และมีระบบไฟฟ้าที่เข้ามาช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ได้มากขึ้นไปพร้อมกัน บนสภาพเส้นทางที่หลากหลาย BMW S 1000 RR ให้การตัดทอนกำลัง รวมไปถึงคุมอาการของรถต่างๆ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ แม้ว่าจะมีการสลิป ลื่น ไถล จากพละกำลังที่ล้นเหลือบ้างก็ตาม ระบบต่างๆ จะคอยช่วยประคองอาการ ให้อยู่ในช่วงของความปลอดภัยได้เป็นอย่างดี
BMW S 1000 RR นับได้ว่าเป็นรถสปอร์ตคันนึงที่สามารถใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน รวมไปถึงใช้เดินทางทั่วไปได้เป็นอย่างดี ด้วยท่านั่งที่เป็นมิตร ระบบไฟฟ้าที่อำนวยความสะดวก และเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ได้มากขึ้น (บนความเร็วที่เหมาะสม) และยังพร้อมที่จะให้ใช้เพิ่มทักษะในการขับขี่บนสนามทางเรียบได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
ขอบคุณ


Comments