
BMW R nineT เผยโฉมครั้งแรกในปี 2016 ในโอกาสที่ BMW ครบรอบ 90 ปีในการผลิตรถจักรยานยนต์ ด้วยเอกลักษณ์การวางเครื่องยนต์แบบวางนอน “Boxer” และรูปลักษณ์แนวคลาสสิก แต่แฝงด้วยประสิทธิภาพเทคโนโลยีล้ำสมัย ทำให้ใครหลายๆ คน ต่างหลงไหล และนำมาตกแต่ง และดัดแปลงในรูปแบบของตนเอง
Review : BMW R nineT Scrambler สัมผัสสุนทรียภาพที่เติมเต็มด้วยอารมณ์ กับการใช้งานในทุกรูปแบบ
ผ่านมา 5 ปีแล้ว BMW R nineT ก็ได้ฤกษ์เผยโฉมใหม่ ปี 2021 โดยยังคงเอกลักษณ์ รูปทรงการออกแบบหลักๆ ไว้เช่นเดิม แต่ได้ปรับปรุงเรื่องของเครื่องยนต์ เทคโนโลยี และอุปกรณ์ต่างๆ ไว้ดังนี้
เครื่องยนต์บ็อกเซอร์ระบายความร้อนด้วยอากาศ/น้ำมันที่ได้มาตรฐาน EU5
เครื่องยนต์ได้รับการปรับปรุงในส่วนของฝาสูบ ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพของการผสมผสานอากาศและน้ำมัน ให้มีสมรรถนะดีขึ้น รวมไปถึงทำให้คายไอเสียได้น้อยลง ผ่านมาตราฐาน EU5 และปรับปรุงในส่วนของฝาครอบใหม่ให้ ระบายความร้อนได้ดีขึ้นด้วยการเพิ่มครีบที่ไล่เรียงเป็นระเบียบ สวยงามขึ้น
สำหรับเครื่องยนต์ใหม่ เพิ่มสมรรถนะ เพิ่มความแรงมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงรอบ 4000-6000 รอบ ทำให้อัตราการเร่งแซงในช่วง 60-100 กม./ชม. และ 100-140 กม./ชม. ดีขึ้น 0.2 วินาที เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์รุ่นก่อนหน้านี้
โหมดการขับขี่แบบ Pro
BMW R nineT โฉมใหม่ เพิ่มโหมดการขับขี่เป็นระบบ Riding Mode Pro ควบคุม และสั่งการการทำงานระบบต่างๆ ทำให้สนุกกับการขับขี่อย่างเร้าใจ ทั้งระบบคันเร่ง และ Engine Mapping รวมไปถึง ABS Pro + DBC และ DTC + MSR ปรับเปลี่ยนค่าต่างๆ ให้เหมาะสมกับการขับขี่
โหมดการขับขี่แบบ Pro ประกอบด้วยโหมดการขับขี่มาตราฐาน ได้แก่ Rain และ Road เพิ่มเติมด้วยโหมด Dyna สำหรับ R nineT และ R nineT Pure ส่วน R nineT Scrambler และ R nineT Urban G/S จะมาพร้อมโหมด Dirt โดยขณะขับขี่ด้วยโหมด Dyna หรือ Dirt ผู้ขับขี่จะได้สัมผัสความสปอร์ตยิ่งขึ้น จากการตั้งค่าเครื่องยนต์ให้ตอบสนองความเร็วได้ฉับไว
ระบบเบรก ABS Pro + ระบบ DBC (Dynamic Brake Control)
ทั้งสองระบบนี้ ทำงานประสานกัน เพื่อควบคุมและประเมินสถานการณ์การส่งแรงเบรคให้เหมาะสมกับการขับขี่ในช่วงเวลานั้นๆ โดยระบบจะทำการวิเคราะห์ตัวแปรจากระบบเซ็นเซอร์ต่างๆ ทั้งจากสภาพถนน มุมเอียงของตัวรถ
ระบบ DTC (Dynamic Traction Control) + MSR (Engine Break Control)
เมื่อ DTC ประสานการทำงานร่วมกับระบบป้องกันการลื่นไถลของล้อหลัง MSR จะช่วยสร้างเสถียรภาพการขับขี่ ในขณะจังหวะเร่ง หรือจังหวะเบรคพร้อมการเชนเกียร์ โดยมีระบบเซ็นเซอร์ประมวลผลทั้งล้อหน้าและหลัง รวมไปถึงมุมเอียง ทำหน้าที่ประสานกับระบบเครื่องยนต์ เพื่อควบคุมการส่งกำลังให้กับเครื่องยนต์ ทำให้การขับขี่เหมาะสม และเกาะถนนได้อย่างที่ดีสุด
ระบบช่วงล่างใหม่ WAD ลิขสิทธิ์ของ BMW ทำหน้าที่ปรับตั้งค่าความหนืดและการยุบตัวของสปริงได้ ให้เหมาะสมกับการขับขี่แบบออฟโรด การทำงานของ WAD จะอาศัยการทำงานควบคู่กัน ระหว่างระบบสปริงแบบ Progressive และโช๊คที่มี Main Piston และ Auxiliary โดยทำงานร่วมกับระบบ Paralever ทำให้ตัวรถเกาะถนนได้ดีในทุกสถานการณ์
ไฟ LED ครบชุด + Dynamic Break Light
ระบบไฟรอบคันแบบ LED พร้อมระบบ Daytime Running Light หรือไฟส่องสว่างตอนกลางวัน เพื่อควาปลอดภัยในการขับขี่ ด้วย Dynamic Break Light ที่จะแสดงไฟเบรคแบบกระพริบถี่ๆ ในกรณีเบรคฉุกเฉิน เพื่อเตือนผู้ขับขี่ที่ขับตามหลัง
สำหรับ THE NEW BMW R nineT มีทั้งหมด 5 รุ่นย่อย 6 แบบ ดังนี้ *(ราคารวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว)
- BWM R nineT Pure ราคา 739,000 บาท
- BMW R nineT Scrambler ราคา 799,000 บาท
- BMW R nineT Urban G/S ราคา 799,000 บาท
- BMW R nineT 859,000 บาท
- BMW R nineT Option 719 Night Black matt/ Aluminum mat ราคา 919,000 บาท
- BMW R nineT Option 719 Mineral White metallic/ Aurum ราคา 919,000 บาท
BMW R nineT: ยังคงเอกลักษณ์ด้วยสีดำ พร้อมการขับขี่ที่คล่องแคล่วและเสียงดุดันจากเครื่องยนต์บ็อกเซอร์
BMW R nineT Pure: โดดเด่นด้วยสี Teal Blue metallic matt พร้อมถังน้ำมันสี Mineral grey metallic
BMW R nineT Scrambler สะกดด้วยสายตาด้วยสี Kalamata metallic matt finish สอดรับกับล้อซี่ลวดสีทองและยางล้อออฟโรด
BMW R nineT Urban G/S: สีขาวตัดลวดลายสีน้ำเงิน สื่อถึงอัตลักษณ์ดีไซน์มอเตอร์สปอร์ต เติมเต็มความโฉบเฉี่ยวด้วยล้อซี่ลวดสีทองและยางออฟโรด
BMW R nineT Option 719: มาพร้อมชุดแต่ง Option 719 ผสานตัวถังในสีสุดพิเศษ Option 719 Night Black matt/Aluminium matt และ Option 719 Mineral White metallic/Aurum พร้อมอุปกรณ์แต่งในแบบฉบับ Option 719 ได้แก่ ถังน้ำมันอะลูมิเนียมแบบเปลือย ในดีไซน์แบบพ่นสี/ขัดเงา
ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.bmw-motorrad.co.th หรือติดต่อผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ทั่วประเทศ
Comments