BMW – R nineT “Scrambler” The honest, untamed, air-cooled
เมื่อการขับขี่มอเตอร์ไซค์เดินทางมาจนถึงจุดจุดนึง ที่ระบบไฟฟ้ากับเซนเซอร์มากมายไม่ใช่สิ่งที่ต้องการจากการขับขี่ เมื่อความเร็วปลายสูงสุดไม่ใช่สิ่งที่ชี้วัดถึงสมรรถนะของตัวรถ ลูกเล่นหน้าปัทม์แสดงผลที่มีสีสรรมากมาย ไม่ได้มีความสวยงามในสายตาของเราอีกต่อไป
หากแต่อารมณ์ และปลายทางสุดท้ายที่แท้จริงของการขี่มอเตอร์ไซค์ คือ “การขับขี่” ที่ปัจเจกชน ต้องการ “หลุด” ออกจากระบบต่างๆที่พันธนาการเราอยู่ แล้วกลับมา “เสพย์” อารมณ์ไปกับใบหน้าที่เปื้อนด้วยรอยยิ้มทุกครั้งที่ได้สัมผัส ที่ได้ขึ้นไปคร่อม ที่ได้ฟังเสียงการเปิดคันเร่ง และทะยานออกไป แล้วหล่ะก็ … BMW R nineT Scrambler เป็นรถคันนึงที่พร้อมจะส่งมอบ “อารมณ์” อย่างเต็มเปี่ยมให้กับผู้ขับขี่ได้สัมผัสอย่างแน่นอน
R nineT จัดได้ว่าเป็นรถในแนวร่วมสมัยจาก BMW ที่โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ และสัมผัสได้ถึงการส่งต่อถึงความสำเร็จในการพัฒนามอเตอร์ไซค์กับเครื่องยนต์แบบวางนอน “Boxer” ที่สร้างชื่อให้ BMW มาอย่างยาวนาน และ R nineT ก็ถือกำเนิดขึ้นในโอกาสครบรอบ 90 ปี ของการสร้างมอเตอร์ไซค์จาก BMW โดยในปัจจุบันนี้มีการแบ่งรุ่นย่อยของ R nineT ออกเป็นหลายรุ่นด้วยกันได้แก่
- R nineT – รถในแบบ heritage รุ่นแรกของ BMW ที่ออกมาในโอกาสครบรอบ 90 ปีของการพัฒนามอเตอร์ไซค์
- R nineT Scrambler – พร้อมลุยฝ่าทุกเส้นทาง ที่ผู้ขับขี่ต้องการจะเดินทางไปด้วยการปรับให้ตอบสนองการใช้งานบนทุกสภาพถนนมากขึ้น
- R nineT Racer – ปรับแต่งให้ได้คาแรคเตอร์ของรถในแบบ Cafe Racer ของปี 70 ด้วย Half Fairing
- R nineT Pure – Roadster ที่เรียบง่าย และคงไว้ซึ่งการขับขี่ที่เต็มด้วยกลิ่นอายของ BMW
- R nineT Urban G/S – เต็มที่ด้วยรูปลักษณ์ของตัวแข่งที่คว้าชัยในการแข่งขัน Paris-Dakar สุดโหด ที่เป็นพื้นฐานของ GS series ในปัจจุบัน
ซึ่งในครั้งนี้ต้องขอขอบคุณ BMW Thailand ที่ได้ให้เกียรติกับผมในการมา “สัมผัส” ถึงตัวตนของ BMW ที่ส่งต่อมาอย่างยาวนาน และบรรจุลงมาอย่างเต็มเปี่ยมบน BMW R nineT Scrambler คันนี้ ซึ่งก็เป็นอีกครั้งนึงที่ผมเองได้ทำการขับขี่อย่าง “ครบครัน” และพาเค้าเดินทางไปในแทบทุกรูปแบบอย่างที่ Scrambler นั้นถูกสร้างสรรค์มาให้ใช้งานได้
กับหัวข้อที่จะพยายามให้กระชับที่สุดกับ BMW R nineT Scrambler คันนี้
- รูปลักษณ์ทั่วไป
- รายละเอียดทางเทคนิคที่น่าสนใจ
- สัดส่วนคน และรถ
- การขับขี่ในสภาพถนนต่างๆ
- อัตราสิ้นเปลือง
- ข้อดี/ข้อเสีย/ข้อสังเกต
- เปรียบเทียบ R nineT แต่ละรุ่น
- สรุป
รูปลักษณ์ทั่วไป
เรียบง่าย และไม่มีชิ้นส่วนอื่นที่ไม่จำเป็นติดตั้งมากับตัวรถ พร้อมกับเรือนไมล์ทรงกลม [ล่างซ้าย] ที่มาด้วยมาตรวัดเท่าที่ต้องใช้เท่านั้น แต่แน่นด้วยรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ อย่างครบครันแม้กระทั่งโลโก้ในโคมไฟหน้า [ล่างขวา] หรือจะเป็นการเดินเส้นสายที่ประกอบกับรายละเอียดที่แสดงให้เห็นถึงความพิถีพิถันของตัวรถคันนี้
ประกับไฟทางซ้าย [บนซ้าย] แบบเรียบๆที่มากับสัญญาณไฟสูง ไฟ hazard (หรือผ่าหมาก) ปุ่มควบคุม trip / info เพื่อเลือกการแสดงผลข้อมูลของตัวรถ สัญญาณไฟเลี้ยว และ แตร ส่วนประกับไฟทางด้านขวามาเพียงปุ่ม Engine run-off และสตาร์ทการทำงานของเครื่องยนต์ในปุ่มเดียวกัน
ปลายท่อไอเสียที่ให้สุ้มเสียงโดดเด่น และความสนุกทุกครั้งที่ออกตัวไปพร้อมกับคันเร่งที่ส่งรถทะยานตีตราโลโก้จาก Akrapovic อย่างชัดเจน [ล่างซ้าย] ด้านข้างซ้ายของตัวรถยังมีปลั๊กชาร์จอุปกรณ์แบบหัวเล็กซ่อนไว้อย่างแนบเนียนกับตัวรถ [ล่างขวา] แบบที่ถ้าไม่สังเกตหล่ะก็ไม่มีทางเห็นแน่ๆ
ยางติดรถที่ให้มากับ Metzeler Karoo 3 [บนขวา] ที่เหมาะกับการใช้งานทั้งบนทางเรียบ (70%) หรือทางฝุ่น (30%) ให้การยึดเกาะที่พร้อมตะกุยในเส้นทาง off-road และยังให้เสถียรภาพที่ดีบนทางเรียบ (เมื่อเทียบกับยางในแบบ off-road ทั่วไป) ช่วงล่างของ R nineT Scrambler [ล่างขวา] ยังได้รับการปรับให้มีระยะยุบที่มากขึ้นจาก R nineT เพื่อรองรับการขับขี่ที่หลากหลายมากขึ้น พร้อมด้วยโช้คหน้าแบบ Telescopic ที่ซับแรง และใช้งานได้อย่างสมบุกสมบันมากขึ้น และยังมีราคาถูกกว่าแบบ USD Telescopic ที่ติดตั้งบน R nineT เป็นส่วนนึงที่ทำให้ Scrambler มีราคาที่ย่อมเยากว่าเล็กน้อย
รายละเอียดทางเทคนิคที่น่าสนใจ
เครื่องยนต์ในแบบ “R” หรือ Boxer ที่สร้างชื่อมาอย่างยาวนานของ BMW มาพร้อมรูปทรงการ “วางนอน” ที่โดดเด่น พร้อมด้วยการระบายความร้อนด้วยอากาศที่ให้คาแรคเตอร์ของเครื่องยนต์อย่างชัดเจนมากกว่าเครื่องบล็อคใหม่ที่ระบายความร้อนด้วยน้ำ
สัดส่วนคน และรถ
สำหรับผู้ขับขี่ที่มากับสัดส่วน 163 cm น้ำหนัก 65 kg ลงได้ปลายเท้าทั้งสองข้าง ด้วยน้ำหนักของตัวรถที่ประมาณ 220 kg และการออกแบบไปทางร่วมสมัยทำให้การยกรถตั้งตรงจะรู้สึกค่อนข้างหนักกว่ารถใหม่ๆที่น้ำหนักใกล้เคียงกัน แต่ก็ไม่ได้ลำบากอะไรมากมายครับ ยังตั้งขึ้นตรงได้ง่ายอยู่
ส่วนพี่หมีขนาด 173 cm น้ำหนักตัว 100 kg นั้นลงได้เต็มเท้าแบบพอดีๆ ขาตึงนิดๆ เรียกว่ารถดูเล็กไปทันที ใครที่สัดส่วนประมาณ 170 cm ขึ้นไป น่าจะขึ้นลงรถ และยกรถตั้งตรงได้แบบสบายๆ แล้วหล่ะครับ
การขับขี่ในสภาพถนนต่างๆ #ในเมือง
ช่วงแรกของการขับขี่ ที่ฝ่าการจราจรที่ติดขัด และอุณหภูมิราว 32-34 c ของอากาศที่แสนอบอ้าวในช่วงเย็น ยาวไปจนถึงพลบค่ำ บนการขับขี่ที่ทำให้เราต้องบิด ต้องหักรถไปมาอยู่เรื่อยๆไปบน R nineT Scrambler คันนี้ ทำให้รู้สึกได้ถึงช่วงหน้าที่ค่อนข้างหนัก ยิ่งผสานกับกันสะบัดมาตรฐานที่ติดตั้งมาให้จากโรงงานที่ช่วยหน่วงที่ย่านความเร็วสูง ทำให้ยิ่งรู้สึกหนักบนความเร็วต่ำขึ้นไปอีก แต่พอเริ่มชินเริ่มปรับตัวได้ ก็สบายขึ้นครับ อาศัยปล่อยให้ไหลนิดนึง แล้วค่อยหักแฮนด์รถไปมาสบายขึ้นกว่าการจอดนิ่งๆแล้วหักเลี้ยวแล้วหล่ะ
ท่านั่ง และสุ้มเสียงของตัวรถให้ความรู้สึกที่ “ดี” ท่านั่งสบาย แต่สำหรับสรีระผมที่ 163 cm ออกจะต้องโน้มตัวไปข้างหน้าเยอะกว่าสัดส่วน 170 cm ขึ้นไป สักหน่อย แต่ก็ไม่ได้ลำบากอะไรมากมาย แต่สิ่งนึงที่สัมผัสได้คือเบาะนั่งนุ่มๆ ที่ให้สัมผัสที่เนียนมือสุดๆเนี่ยแหล่ะน้า
กำลังของตัวรถในช่วงเปิดคันเร่งจะรู้สึกได้ถึงแรงบิดเป็นลูกๆ ที่พาให้ทะยานออกไปข้างหน้าได้แบบ “สนุก” และยังคงให้เสถียรภาพของตัวรถที่ดี ยางติดรถที่ให้มาให้การยึดเกาะที่ดีพอ สำหรับการใช้งานทั่วไป แต่ทั้งนี้ด้วยความที่เป็นยางแบบ “กึ่งทางดิน” เวลาเลี้ยว หรือแบนรถเยอะจะมีอาการที่ผมเรียกว่า “ดุ๊กดิ๊ก” ได้นิดๆ แต่ไม่ได้เยอะมากมายแบบยางวิบากนะครับ คือมีอาการนิดๆ โดยที่ยังให้การยึดเกาะที่ยังเชื่อถือได้อยู่
เครื่องยนต์ในแบบ Boxer ระบายความร้อนด้วยอากาศให้อาการแกว่งขวา-ซ้าย ไปมา เบาๆที่รอบต่ำ หรือที่บางคนเรียกกันว่า “ไกวเปล” อาจจะทำให้รู้สึกแปลกๆได้ในช่วงแรกๆ แต่พอเดินคันเร่งขึ้นไปแล้ว “รู้สึกดี” ในแบบที่เรียกได้ว่า “ต้องลอง”
เครื่องยนต์แบบ Boxer ที่ยื่นออกมานั้น ทำให้ผมเองต้องเผื่อระยะสักนิด เผื่อยังไงเหรอ ? เล็งแฮนด์บาร์เลยครับ ถ้าแฮนด์ไปได้ ข้างล่างก็ไปได้เช่นกัน บอกเลย !
ส่วนเรื่อง “ร้อน” ที่ช่วงอากาศร้อนอบอ้าวของบ้านเรากับสภาพการจราจรติดขัด อุณหภูมิของเครื่องยนต์มีขึ้นสูงไปถึงประมาณ 140-145 c ซึ่งก็ยังคงทำงานได้ดีไม่มีอาการอะไร แต่คนเนี่ยแหล่ะจะไม่ไหวกับอากาศเอาซะเอง เมื่อจอดพักในที่ร่มประมาณ 15 นาทีก็ลดลงมาเหลือประมาณ 110 c แล้วหล่ะครับ ความร้อนของตัวรถส่งมาถึงตัวผู้ขับขี่ในระดับนึง ถ้ากางเกงขาสั้นหล่ะก็ร้อนแน่ๆ แต่ถ้าเป็นกางเกงขับขี่มอเตอร์ไซค์ก็ไม่ได้มากมายอะไร ตัวถังไม่มีการอมความร้อนขึ้นมาถึงถังน้ำมันแบบที่เจอได้บนรถบางคัน
การขับขี่ในสภาพถนนต่างๆ #เดินทาง
ท่าคร่อมรถแบบกึ่งกลางลงได้ปลายเท้า แต่บนการขับขี่ใช้งานเขยิบก้นสักนิดให้ลงได้เต็มๆ สบายกว่าน้า ผ่อนแรงเราไปได้เยอะเลยทีเดียว
ด้วยแรงบิดที่มากมาย และไม่มี Traction Control ในการตัดกำลังทำให้การกระชาก R nineT Scrambler เพื่อการเร่งแซงทำได้โดยง่าย ให้การตอบสนองที่รวดเร็วได้ดั่งใจ ซึ่งช่วงหน้าอาจจะมีอาการสะบัดเบาๆได้ในช่วงจังหวะเร่งแซงหนักๆ เข้าใจเลยหล่ะครับว่าทำไมถึงมีกันสะบัดติดตั้งมาให้ด้วยเลย สำหรับการเดินทางบนความเร็วเดินทางที่ 100-120 km/hr ช่วงล่างของตัวรถ ที่แม้จะปรับให้เหมาะสมกับสภาพทางในหลายรูปแบบ ยังคงตอบสนองได้เป็นอย่างดีกับสภาพถนนของบ้านเรา
ช่วงเว้าของถังน้ำมันที่รองรับกับสรีระของผู้ขับขี่ได้หลากหลายให้ความรู้สึกที่กระชับแน่น กับช่วงขา ผสานกับท่านั่งที่โน้มไปข้างหน้านิดๆ และเบาะนั่งที่นุ่มสบายให้การยึดเกาะดี ทำให้จังหวะการเบรครถแรงๆ แทบไม่ต้องหนีบรถเลยหล่ะครับ ขาวางสบายๆหนีบช่วยนิดหน่อยได้เลย
แรงลม …แหม่โล่งขนาดนี้ เรียกว่า รื่นลม กันไปเต็มๆได้เลย ช่วงบนของร่างกายรับลมไปเต็มๆ ส่วนช่วงล่างสบายๆไม่ค่อยมีลมปะทะสักเท่าไหร่ ส่วนนึงก็เครื่องยนต์ และทรงถังน้ำมันเนี่ยแหล่ะครับ ทำตัวเป็นแฟริ่งดีๆนี่เอง ความร้อนของเครื่องยนต์ในขณะเดินทาง ท่ามกลางอากาศร้อนๆของบ้านเราอยู่ที่ประมาณ 100-115 c เรียกได้ว่าสบายๆ แม้ไม่มีหม้อน้ำ (แต่มีออยคูลเลอร์ช่วยน้า) ส่วนในเวลากลางคืนก็อยู่ที่ประมาณ 90-110 c ตามสภาพการจราจร
โดยรวมแล้วสิ่งที่โดดเด่น บนความเร็วเดินทางของถนนหนทางในบ้านเรากับ R nineT Scrambler ไม่ใช่ความเร็วสูงสุดของตัวรถ แต่คือ “อารมณ์” ของ BMW ที่ส่งมายังผู้ขับขี่อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นสุ้มเสียงที่ชัดเจนให้โทนเสียงที่รู้สึก “เร้าใจ” ทุกครั้งที่เปิดคันเร่ง ท่านั่งที่ให้ความรู้สึกภูมิฐาน อาการแกว่งเบาๆ หรือ “ไกวเปล” ที่รู้สึกได้เวลาสตาร์ทเครื่องยนต์ หรือเดินคันเร่งที่รอบต่ำ กลับกลายเป็นช่วยทำให้ตัวรถมีอาการที่ “นิ่ง” ขึ้นบนความเร็วสูง และพลิกรถเข้าโค้งต่อเนื่องได้แบบไหลลื่น และมั่นคง
การขับขี่ในสภาพถนนต่างๆ #Off The Road!
เปลี่ยนอุปกรณ์ “คน” ให้พร้อม แล้วไปขี่กัน !
R nineT Scrambler ได้รับการปรับแต่งในหลายๆส่วนด้วยกันเมื่อเทียบกับ R nineT ไม่ว่าจะเป็น แฮนด์บาร์ที่สูงขึ้น ให้การควบคุมที่คล่องแคล่วขึ้น โช้คหน้าแบบ Telescopic และโช้คหลัง ที่ให้ระยะยุบมากขึ้นรองรับสภาพเส้นทางที่หลากหลายมากขึ้น ความสูงของรถที่สูงขึ้นรวมไปถึงท่อไอเสียที่ยกสูงขึ้นอีก เพื่อให้สามารถผ่านอุปสรรคต่างๆได้ง่ายขึ้น พร้อมด้วยยางแบบกึ่งที่ตอบสนองในทางดินได้มากขึ้น
ซึ่งในคราวนี้ผมเองก็ได้มีโอกาสพา R nineT Scrambler มาขับขี่ในแบบนึงที่เค้าถูกเตรียมความพร้อมมากับเส้นทางในแบบ Off Road เบาๆ ให้ได้ออกไปตะกุยดินด้วยยางในแบบกึ่งลุยที่ติดรถมา ซึ่งก็ต้องบอกว่า R nineT Scrambler คันนี้มีพื้นฐานที่พร้อมจะออกไปขับขี่ในเส้นทางแบบนี้ได้ทันทีเลยทีเดียว
กำลังของเครื่องยนต์ขนาด 1170 cc ที่ “เหลือเฟือ” พร้อมที่จะปั่นล้อตะกุยลงไปบนดิน และส่งตัวรถให้สามารถข้ามเนินทางชันได้แบบสบายๆ การขับขี่ในท่ายืนบน R nineT Scrambler ทำได้ค่อนข้างดีด้วยช่วงเว้าของถังน้ำมันที่เอื้อให้ผู้ขับขี่สามารถยืน และโยกตัวไปข้างหน้าได้แบบไม่ติดขัดอะไร ช่วงแฮนด์บาร์ที่ยกสูงขึ้นจาก R nineT ทำให้ยืนได้ง่ายขึ้น แต่ช่วงแฮนด์อาจจะขืนๆสักเล็กน้อยจากการที่ต้อง โน้มตัวไปข้างหน้ามากกว่ารถในแบบ Off Road ทั่วไป ถ้ายืนขี่ยาวๆ มีเมื่อยหลังได้เหมือนกันนะนั่น
ช่วงล่างของ R nineT Scrambler ที่มากับระยะยุบหน้า/หลังที่ 125/140 mm (R 1200 GS อยู่ที่ 190 / 200 mm) บนลมยางที่เหมาะสม ช่วยซับแรงกระแทกได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดลอยข้ามนะครับ คือไม่กระเด้งกระดอนอะไรมากมาย ไปได้เรื่อยๆนั่นแหล่ะ
จังหวะช่วงส่งรถขึ้นเนินดิน หรือ “โดด” ทำได้ในระดับนึง แต่ทั้งนี้บอกตรงเลยว่า “เสียว” เสียวมากไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งของคอท่อ และอาการรถที่หน้าหน่วงๆเล็กน้อย ส่วนนึงน่าจะมาจากกันสะบัดที่ติดตั้งไว้ด้านล่างซึ่งไม่สามารถเลือกระดับความหนืดได้ด้วยหล่ะครับ
ABS ที่ติดตั้งมาทำงานได้ ละเอียด เรียกว่าปล่อยไหล กำเบรคหน้าสุดๆ แล้วทิ้งดิ่งมาลงเนินกันได้เลย อย่างไรก็ดี น้ำหนักของตัวรถเอง และระยะการทำงานของเบรคหน้าออกจะส่งให้รถไหลลงมาเร็วไปสักหน่อย ถ้าผมเองมีเวลาได้ขับขี่เพิ่มอีกสักระยะนึงน่าจะคุ้นเคย และหยุดรถบนเนินดินได้ดีกว่านี้
การบาล๊านซ์คน และรถ ทำได้ค่อนข้างง่ายด้วยการวางน้ำหนักของตัวรถที่ค่อนข้างต่ำ ผสานกับระยะฐานล้อที่ยาวถึง 1522 mm แต่ทั้งนี้ระวังช่วงการหักเลี้ยวนิดนึงนะครับ ตัวรถค่อนข้างมีน้ำหนัก และแฮนด์หนืดๆ … ล้มแปะ หน้าแตกกันมานักต่อนักแล้ว !
โดยรวมถ้าถามว่า R nineT Scrambler ขับขี่แบบ Off Road ได้มั้ย … ได้ครับ ได้ทันทีเลยหล่ะ แต่ทั้งนี้อาจจะไม่ได้สบาย ไม่ได้คล่องแคล่วแบบรถในตระกูล GS หรือ Enduro ด้วยตัวรถยังคงออกไปทางการตอบสนองการขับขี่บนทางเรียบมากกว่า แต่ปรับให้สามารถฝ่ากำแพงของเส้นทางได้ง่ายขึ้นจาก R nineT พร้อมด้วยยางติดรถที่ให้มาพาตัวรถขนาด 220kg ตะกุยดินชิวมาก แต่ที่สำคัญคือ ผู้ขับขี่เองเนี่ยแหล่ะครับว่าจะพาเค้าไปได้ด้วยกันรึเปล่า รถน้ำหนักขนาดนี้เหนื่อยกว่ารถเล็กๆพอสมควรเลยทีเดียวน้า
อัตราสิ้นเปลือง
สำหรับในครั้งนี้ผมเองได้มีโอกาสขับขี่ R nineT Scrambler คันนี้ไปในสภาพที่หลากหลายทั้งการใช้งานในเมืองฝ่าการจราจร การเดินทางไกลไปจนถึงพัทยา การพาไปเคลือบฝุ่นบางๆ ของเส้นทางในแบบ Off Road ทำให้ได้อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยออกมาตามนี้เลย
รวมระยะทางทั้งหมดกับทุกสภาพการขับขี่ได้ที่ 518 km และใช้น้ำมันไปทั้งสิ้น 35.29 litre หรือก็คืออัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยที่ 14.67 km/litre สำหรับ R nineT Scrambler คันนี้ที่ยังอยู่ในช่วงของการรันอินนะครับ พ้นจากระยะรันอินแล้วน่าจะได้อัตราสิ้นเปลืองที่ดีขึ้นเล็กน้อย แต่รวมๆแล้วก็คือกินตามมือคนบิดเนี่ยแหล่ะ !
ข้อดี/ข้อเสีย/ข้อสังเกต
ท่อไอเสียทรงสูงเพื่อเสริมให้รถพร้อมจะออกไปลุยในทุกหนทางได้มากขึ้น พร้อมโลโก้ Akrapovic ที่แนบเนียน พร้อมให้นั่งเดินทางได้แบบ “นุ่มนวล” กับเบาะนั่งที่ให้สัมผัสที่ดีมาก (คล้ายหนังแกะ ที่ลูบแล้วจะรู้สึกเนียนๆ นุ่มๆมือ) ทั้งนี้ทาง BMW แจ้งว่า สีของเบาะนั่งจะแตกต่างกันได้ตามการใช้งาน รวมไปถึง “กางเกง” ที่ใส่ขับขี่ด้วยนะครับ ไม่ใช่ดีเฟกอะไรของเบาะ แต่ออกแบบมาให้ “พิมพ์” ร่องรอยลงไปเพื่อสร้างเอกลักษณ์ของตัวเอง … แหม่!
ก่อนจะไปถึงข้อดี/ข้อเสียต่างๆ ต้องบอกไว้ก่อนเลยว่า BMW สร้าง R nineT Scrambler คันนี้ขึ้นมาเพื่อให้ “เสพย์” การขับขี่ เซนเซอร์ต่างๆแทบไม่มี ไม่มีระบบไฟฟ้าอะไรมากมาย ไม่มีโหมดการขับขี่ ไม่มี Traction Control ไม่มีโช้คไฟฟ้า ไม่มีโช้คที่ปร้บตั้งได้อย่างละเอียด เรียกว่าเหลือคงไว้ด้วยการส่งต่อของอารมณ์การขับขี่ไปกับเครื่องยนต์ Boxer จาก BMW ที่ผสานด้วยการออกแบบในแบบร่วมสมัยอย่างลงตัว และปรับให้สามารถใช้งานได้อย่าง “หลากหลาย” บน R nineT Scrambler คันนี้
ข้อดี
- “อารมณ์” และความรู้สึก คือสิ่งที่โดดเด่นออกมาจาก R nineT Scrambler คันนี้ ผสานกับการปรับตั้งที่ให้ความรู้สึกมั่นใจ และพร้อมที่จะให้ผู้ขับขี่ใช้งานได้อย่างหลากหลายในทุกสถานการณ์
- เบาะนั่งที่ให้สัมผัสที่ดีมาก นุ่มนวล และหนืดกับตัวผู้ขับขี่ ไม่ออกอาการไถลไปชนถังเวลาเบรคหนักๆ หรือไหลไปด้านหลังเวลาที่ส่งคันเร่งออกไปอย่างเต็มแรง
- ช่วงล่างตอบสนองกับสภาพถนนของบ้านเราได้อย่างดี
- ประกับควบคุม การใช้งานตัวรถ “เรียบง่าย” ไม่มีลูกเล่น ไม่มีอะไรซับซ้อน เข้าถึงและใช้งานได้ง่าย เรียกว่าขึ้นมาแล้วขับขี่ออกไปได้เลย
ข้อเสีย/ข้อสังเกต
- ท้องรถที่แม้จะยกสูงขึ้นจาก R nineT แต่ช่วงคอท่อยังคงเปลือย ทำให้เสียวๆได้ทุกครั้งเลยเหมือนกันที่ขับขี่ในเส้นทางแบบ Off Road ถ้าใครต้องขับขี่ในทางดินหรือแบบ Off Road เสริมแผ่นรองใต้ท้องสักนิดสบายใจขึ้นอีกเยอะเลยหล่ะครับ
- ท่านั่งที่กึ่ง Roadster นิดๆกับการขับขี่ในแบบ Off Road ลงทางชันๆ บนช่วงแฮนด์ที่หนืดๆนิดๆ ให้อารมณ์เสียวๆเหมือนหน้าจะพับได้เหมือนกันน้า
- เบรคหน้ามีระยะที่ต้องกำเข้ามาค่อนข้างเยอะแม้จะปรับตั้งให้สูงที่สุดแล้วก็ตาม แต่ยังคงให้ระยะเบรคที่ดีสำหรับการขับขี่บนทางเรียบ ในส่วนของทางดินนั้น ABS ที่ทำงานในขณะลงทางชันช่วยให้ประคองรถได้ง่ายขึ้น แต่จะไหลลงมาเร็วไปนิดนึงถ้าเทียบกับ R 1200 GS หรือ F 800 GS
- ไม่มีระบบไฟฟ้าอะไร ไม่มีเซนเซอร์อะไรมากมายให้กังวล หลักๆที่มีก็ ABS เนี่ยแหล่ะครับ
- ด้วยพลังที่ส่งออกมาเต็มๆ ดิบๆ ไม่มีเทคโนโลยีอะไรมาช่วยกรองแรงบิดที่เกินออกไป ทำให้ช่วงกระแทกคันเร่งส่งแรงๆ หรือต่อเกียร์ไวๆ ช่วงหน้าของรถอาจจะมีอาการสะบัดได้เบาๆ หรือมีอาการปั่นทิ้งได้นะครับ เข้าใจเลยหล่ะว่าทำไมถึงมีการติดตั้งกันสะบัดมาให้เป็นมาตรฐานจากโรงงาน (สำหรับผู้ขับขี่ที่น้ำหนักตัว 65 kg แต่ถ้าน้ำหนักตัวมากกว่า 80 kg อาการนี้น้อยลง) ซึ่งถ้าปรับลดลมยาง และปรับช่วงล่างหลังให้นุ่มลงซักนิดช่วยลดอาการได้นิดนึง
เปรียบเทียบ R nineT แต่ละรุ่น
R nineT แต่ละรุ่นได้รับการปรับให้เหมาะสมกับการใช้งานในแต่ละแบบโดยยังคงพื้นฐานของรถที่ใช้ร่วมกันทั้ง 5 รุ่น นอกเหนือไปจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว รายละเอียดอะไรที่แตกต่างกันบ้าง ตามนี้เลย
นอกจากนั้นก็จะมีรายละเอียด (ละเอียดมากๆ) ของมุมล้อ และมุมแคสเตอร์ที่แตกต่างกันออกไปในรถแต่ละคัน เพื่อช่วยเสริมลักษณะของการขับขี่ในแต่ละแบบให้เหมาะสมตามที่ถูกออกแบบมาให้เป็นอีกขั้นนึง โดยราคาของ Scrambler, Racer และ Pure นั้นย่อมเยากว่าจากการปรับปรับอุปกรณ์ติดรถ เพื่อให้ได้ราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น
สรุป
“รูปลักษณ์” ที่เรียบง่าย แต่โดดเด่น สะกดให้แทบทุกคนต้องหันมองเหลียวหลัง เป็นรถคันนึงที่เมื่อจอดแล้วจะมีผู้คนหลากหลายเดินเข้ามาคุยด้วยเยอะมาก พร้อมกับคำพูดว่า “สวย” กันแทบทุกคนที่เดินเข้ามาถามไถ่ถึงรถคันนี้ “สุ้มเสียง” ที่สุขุม แต่แฝงไว้ด้วยจังหวะการทำงานของเครื่องยนต์ และโทนเสียงที่หนักแน่นทุกครั้งที่เปิดคันเร่งส่องออกไป ทำให้ผมเอง “สัมผัส” ได้ถึงขุมพลัง และอารมณ์ของการขับขี่ที่โดดเด่นจาก R nineT Scrambler คันนี้ได้ตลอดเวลา
แฮนด์บาร์ที่ยกสูงขึ้น และตำแหน่งเบาะที่ปรับให้ควบคุมรถได้ง่ายขึ้นแต่ยังคงความสบายของการขับขี่ไว้ในสภาพการใช้งานต่างๆได้เป็นอย่างดี ผสานกับยางในแบบกึ่ง off road ล้อหน้าขนาด 19 นิ้ว ท่อไอเสียทรงสูง ที่ “ย้ำ” ถึงความสามารถของรถที่ พร้อมจะให้ผู้ขับขี่พาเค้าทะยานออกไปอย่างที่ต้องการ แต่ไม่ถึงขั้นขนาดเข้าป่า หรือไปปีนหินลุยหนักๆนะครับ คนเนี่ยแหล่ะจะไม่สนุก พาลล้มแปะแล้วจะเซ็งกันได้ง่ายๆ แล้วจะหาว่าไม่เตือน
การขับขี่ในสภาพการจราจรต่างๆของบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลารถติดขัด อากาศร้อน หรือการเดินทางระยะกลางๆที่ 200 km รวมไปถึงการลงไปขี่ในเส้นทาง Off Road ก็ตาม R nineT คันนี้ เป็นรถคันนึงที่พร้อมให้ผู้ขับขี่ใช้งานเค้าได้อย่างที่อยากจะทำ ให้การตอบสนองที่คาดเดา และเชื่อถือได้ ระบบไฟฟ้าต่างๆในตัวรถถูกตัดออกไปคงเหลือไว้หลักๆคือ ABS ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่เท่านั้น นอกจากนั้นไม่มีครับ เรียกว่าให้ผู้ขับขี่สามารถมุ่งเน้นไปที่การ “สัมผัส” กับอารมณ์การขับขี่อย่างแท้จริงแบบเต็มๆ ถึงความ “ดิบ” ที่พร้อมจะทะยานออกไปของตัวรถ ไม่ต้องคอยมาเลือกโหมด หรือการตอบสนองอะไร คือขึ้นไปบนรถแล้ว “ทะยาน” ออกไปได้เลย
ในครั้งนี้เป็นอีกครั้งนึงที่ผมเองได้มีโอกาสขับขี่เพียงไม่กี่วัน แต่เป็นช่วงเวลาสั้นๆที่ “ติด” กับอารมณ์ในแบบดิบๆ ที่ส่งกำลังออกมาแบบตรงๆจากขุมพลังของเครื่องยนต์ในแบบ Boxer ที่สร้างชื่อมาอย่างยาวนานถึง 90 ปีของ BMW ถ่ายทอดลงมาเป็น R nineT คันนี้
BMW R nineT Scrambler มีราคาจัดจำหน่ายที่ 950,000 บาท
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม และศูนย์บริการใกล้บ้านได้เลยที่ BMW Motorrad Thailand
https://www.facebook.com/BMWMotorradTH
Koala Rider – A Rider Super Market เกษตร-นวมินทร์
40 Garage ร้านคุณภาพสำหรับมอเตอร์ไซค์ของเพื่อนๆ
facebook : https://www.facebook.com/40garage
ขอขอบคุณ Dirtshop ที่เอื้อเฟื้อรองเท้า XPD ให้เราใช้ในการเดินทางจริง !
ติดตามกับผลิตภัณท์คุณภาพจาก Spidi Official Thailand ได้ที่นี่เลย
Comments