PREVIEW : Super Meteor 650 เปลี่ยนมุมมอง สู่โลกใหม่ของการเดินทางจาก Royal Enfield

โดย /

 

ในปี 2021 ที่ผ่านมา Royal Enfield ได้เปิดตัวรถในแบบ Cruiser พิกัดเล็กขนาด 350 ขึ้นมากับ Meteor 350 ที่ให้การขับขี่ที่ลงตัวเลยหล่ะสำหรับรถในพิกัดขนาดเล็ก ก่อนที่จะทิ้งท้ายไว้ว่า ถ้าจับเอา Meteor มารวมร่างกับเครื่องยนต์ 650 cc ที่อยู่ใน Intercepter 650 และ Continental GT 650 จะเป็นยังไงกัน

จนผ่านมา 2 ปีเนี่ยแหล่ะครับ กับการเปิดตัว Royal Enfield Super Meteor 650 ที่ผมมีโอกาสได้ขับขี่ในคราวนี้ซึ่งผมเองบอกกับทาง Royal Enfield เลยว่า … รถเดินทางบนทางเรียบมันต้องเป็นแบบนี้แหล่ะ !! 

 

Super Meteor 650 นั้นจะมากับสีของตัวรถที่หลากหลาย โดยจะแบ่งเป็นช่วงราคาแบบง่ายๆได้ 3 ช่วง 

  • สีแบบ Two-Tone จะมี แดง-ขาว และ น้ำเงิน-ขาว (Celestial Red และ Celestial Blue) ราคา 284,000 บาท
  • สีเขียว (Interstella green) ราคา 274,000 บาท
  • สีดำ และสีน้ำเงิน (Astral Black และ Astral Blue) ราคา 269,000 บาท

ส่องดูรายละเอียดรถกันสักนิดนึง

สำหรับสีแบบ Two-tone นั้นจะมีอุปกรณ์เพิ่มเติมนิดหน่อย โดยหลักๆจะเป็น 

  • ชิวบังลมหน้าขนาดใหญ่
  • พนักพิงคนซ้อน
  • สรีระของเบาะที่หนานุ่มขึ้น และเป็นตอนเดียวกัน 

เรียกว่าแต่งมาให้เลยจากโรงงานก็ว่าได้ เพื่อให้พร้อมสำหรับการเดินทางกับคนซ้อนกันไปได้ทันที เพียงคว้ากระเป๋าพาดซักใบ ก็ออกไปเดินทางกันได้เลย

ส่วนที่เหลือของตัวรถไม่แตกต่างกันครับ เหมือนกัน ไล่เรียงดูกันทีละนิดก็

  • [บนซ้าย] ปลอกแฮนด์ที่หนา กระชับ และให้ความรู้สึกของรถในแบบ Cruiser ได้อย่างดี
  • [บนขวา] ประกับที่ใช้วัสดุเป็นอลูมิเนียมด้าน พร้อมสวิทช์สตาร์ทแน่นๆ ที่จับแล้วรู้สึกดีแฮะ
  • [ล่างซ้าย] คราวนี้ช่วงล่างหน้าเป็น Showa ขนาด 43 mm แบบหัวกลับ (upside down) แต่ขัดใจตรงจุกยางที่ปิดหัวโช้คเนี่ยแหล่ะครับ ดึงหลุดง่ายจัง แต่ตอนขี่ไม่มีปัญหาอะไรนะครับ
  • [ล่างขวา] โช้คหลังแบบคู่ที่ปรับ preload ได้ 5 ระดับ โดยค่าตั้งต้นจะมาเผื่อสำหรับคนซ้อนนะครับ ปรับตั้งได้ตามการใช้งานของเราอีกทีแหล่ะ

[บนซ้าย] ไฟกลมที่ออกแบบให้ร่วมสมัย แต่ข้างในเป็น LED สีขาว สว่างเลย ให้ทัศนวิสัยที่ดีในสภาพการเดินทางของบ้านเราเลยหล่ะครับ

[บนขวา] หูยึดขนาดใหญ่จะใช้มัดสัมภาระ หรือจะใช้ช่วยขึ้นขาตั้งคู่ก็ได้ทั้งคู่

[ล่างซ้าย] ปั๊มเบรคหน้าจาก Bybre (มาจาก By Brembo) ที่ให้ระยะเบรคที่เพียงพอแล้วหล่ะครับ รวมร่างกับ [ล่างขวา] ปั๊มเบรคหลังจาก Bybre เช่นกัน

รายละเอียดทางเทคนิคบางส่วนที่น่าสนใจ

Interstella Green เขียวดำ ตัดด้วยเส้นสายสีทอง 

โดยปกติแล้วผมมักจะไม่ค่อยดูสเปคก่อนการขับขี่ซักเท่าไหร่ … ซึ่งคราวนี้ก็เช่นกัน พอมาเห็นน้ำหนักรถแล้วก็ .. เอ๊ะ 241 kg เลยเหรอนะ !! ตอนขับขี่บอกตรงๆไม่รู้สึกว่าจะหนักขนาดนี้

ดูรายละเอียดกันมาเยอะแล้ว .. ไปขี่กันดีกว่า

“เบา” … แบบงงๆ กับน้ำหนักตัว 241 kg แต่ส่วนนึงน่าจะมาจากการออกแบบเฟรมใหม่โดยเฉพาะสำหรับ Super Meteor 650 คันนี้ ที่ให้ตำแหน่งเบาะต่ำ พร้อมตำแหน่งเครื่องยนต์ที่วางน้ำหนักมาได้ดีเลยทีเดียว การดันรถขึ้นตรงทำได้แบบไม่รู้สึกถึงน้ำหนักอะไร ออกจะรู้สึกเบากว่า Interceptor 650 ที่ผมเคยขับขี่มาก่อนซะด้วยซ้ำ

“นุ่ม” … ด้วยเครื่องยนต์แบบสูบคู่ กับ Crankshaft 270 ที่เรียกว่าสร้างชื่อให้กับ Interceptor 650 และ Continental GT 650 นั่นแหล่ะครับ การทำงานของเครื่องยนต์ เนียน นุ่ม ให้แรงบิดที่ดีตั้งแต่รอบต่ำและสม่ำเสมอ หรือที่ทาง Royal Enfield จะเรียกว่า Flat Torque

“ติดมือ” ด้วยคาแรคเตอร์ของเครื่องยนต์ Flat Torque เนี่ยแหล่ะครับ เรียกว่าออกตัวไหลได้เนียน แต่เปิดคันเร่งเมื่อไหร่ก็พร้อมปั่นแรงบิดส่งลงล้อได้ทันที ซึ่งทำให้จังหวะเร่งแซงบนเส้นทางต่างๆ ทำได้แบบไม่ต้องลุ้น ไม่ต้องรอรอบ หรือเชนเกียร์อะไร เปิดคันเร่ง พ้น คืนคันเร่งดึงความเร็วกลับให้แบบเนียนมือมาก

เบรคติดรถ เพียงพอกับการใช้งานเลยหล่ะครับ ABS ที่ติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานของ Super Meteor 650 นั้น รู้สึกได้ว่าพัฒนาขึ้นมาจนทัดเทียมกับแบรนด์อื่นๆ และรู้สึกให้การทำงานที่ละเอียด และเชื่อถือได้ดีกว่ารุ่นพี่อย่าง Interceptor 650 และ Continental GT 650 ไปอีกขั้นนึงแล้ว

“สบาย” กับตำแหน่งเบาะที่ต่ำ ด้วยสัดส่วนผมที่ 163 cm น้ำหนัก 63 kg นั่งกึ่งกลางลงได้ครึ่งเท้าสบายๆเลย ตำแหน่งท่านั่งของ Super Meteor 650 คันนี้ต้องบอกว่าออกแบบมาได้ดีเลยหล่ะครับ ท่านั่งหลังตรง ช่วงแฮนด์กว้างการควบคุมรถ และเข้าถึงอุปกรณ์ต่างๆทำได้ง่าย ออกแบบมาได้ดีมาก

ช่วงล่างที่ตั้งมาจากโรงงาน สำหรับน้ำหนักตัวผมออกจะแข็งไปนิดนึง แต่ก็สามารถปรับตั้ง preload ได้นิดหน่อย แต่โดยเดิมๆที่มา กับการเดินทางบนทางเรียบ ไม่ได้รู้สึกติดขัดอะไรครับ ให้การตามติดพื้นผิวถนนทางเรียบที่ดีพอ สำหรับความเร็วในการเดินทางทั่วไปที่ย่าน 100-110 km/hr เลยหล่ะ

เอายังไงต่อดีน้า …

ก่อนอื่นเลยต้องบอกตรงๆว่า ผมเองไม่ได้คาดหวังอะไรมากกับ Super Meteor 650 คันนี้ครับ. แต่พอขึ้นรถ สตาร์ท ออกตัวไปเท่านั้นแหล่ะ … เอ๊ะ !!!!

กับราคาค่าตัวขนาดไม่เกิน 3 แสนบาท แต่ได้เครื่องยนต์ที่เรียกได้ว่าเหนือขั้นที่สุดของ Royal Enfield ส่งพลังได้อย่างต่อเนื่อง เนียน กับการทำงานของเกียร์ที่นุ่มมาก เข้าเกียร์ เชนเกียร์ ได้แบบเนียนต่อเนื่องด้วยแรงบิดที่มาเต็ม มาเรื่อยๆตลอดทุกย่านรอบ

นอกจากนั้นอุปกรณ์เล็กๆน้อยทั้ง ปลอกแฮนด์ ประกับ ก้านเบรค ก้านคลัช เส้นสายของท่อไอเสีย และงานประกอบต่างๆของ Super Meteor 650 นั้น “ดูดี” ขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะมาก ให้ความรู้สึกที่พรีเมี่ยมมากขึ้น ตัวรถไม่มีอะไรที่ทำให้ผมรู้สึกขัดใจเลย

เส้นทางในวันนี้ทั้งร้อนแดดออกแรง ทางดิน ทางเรียบฝนตก เรียกได้ว่าครบรสของการเดินทางในบ้านเราเลยทีเดียว … Super Meteor 650 ก็ยังปั่นล้อต่อไป ไม่มีอาการอะไรที่ทำให้รู้สึกไม่ดีกับตัวรถ ความรู้สึกสะท้าน สะเทือน จากเครื่องยนต์ 1 สูบ หรือ Royal Enfield รุ่นอื่นๆ ก่อนหน้านี้ … ไม่มีเลยครับ กระจกมองข้างต่างๆชัดเจน ไม่มีอาการสั่นบนย่านความเร็วสูง

โดยรวมแล้วต้องบอกว่า ส่วนตัวผมอยากให้ Royal Enfield ยึดเอา Super Meteor 650 คันนี้ เป็นมาตรฐานของการผลิตรถในพิกัดกลาง รุ่นอื่นๆ ในอนาคตต่อไปเลยทีเดียว เพราะในครั้งนี้ Super Meteor 650 กลายเป็นรถที่ผมชอบที่สุดของ Royal Enfield ไปซะแล้ว เป็นรถที่ขี่แล้วรู้สึกดี และยังไม่อยากให้จบทริปสั้นๆ 150 km ในครั้งนี้เลยจริงๆ

Comments